ครู อาจารย์ และคำที่มีความหมายที่คล้ายคลึงกัน
คำว่า "ครู" มาจากศัพท์ภาษาสันสกฤต "คุรุ" และภาษาบาลี "ครุ, คุรุ" คําว่า ครู ตามศัพท์แปลว่า ผู้หนัก หมายถึง ผู้ที่ต้องมีภาระหนักในการที่จะอบรมสั่งสอนศิษย์และในการถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ศิษย์ ผู้ที่มีความสามารถให้คำแนะนำ เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการเรียน สำหรับนักเรียน หรือ นักศึกษาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั้งของรัฐและเอกชน มีหน้าที่ หรือมีอาชีพในการสอนนักเรียนเกี่ยวกับวิชาความรู้ หลักการคิดการอ่าน รวมถึงการปฏิบัติและแนวทางในการทำงาน โดยวิธีในการสอนจะแตกต่างกันออกไปโดยคำนึงถึงพื้นฐานความรู้ ความสามารถ และเป้าหมายของนักเรียนแต่ละคน
อาจารย์ แปลว่า ผู้ที่ศิษย์จะต้องประพฤติตอบด้วยความเอื้อเฟื้อ คือความเคารพนบนอม ในทาง
พระพุทธศาสนาถือกันว่า ครูเป็นทิศเบื้องขวา เพราะเป็นบุคคลที่สําคัญยิ่งในอันที่จะสร้างบุคคลในสังคมให้เป็นผู้มีความรู้ มีคุณธรรม อันจะเป็นกําลังทางสังคมของประเทศชาติต่อไป
แต่...สิ่งที่สองตำแหน่งนี้มีเหมือนกัน คือ การสอนให้ผู้เรียนมีคุณธรรม มีความรู้ มีทักษะชีวิตในการที่จะนำสิ่งเหล่านั้นไปพัฒนาตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ
พระพุทธศาสนาถือกันว่า ครูเป็นทิศเบื้องขวา เพราะเป็นบุคคลที่สําคัญยิ่งในอันที่จะสร้างบุคคลในสังคมให้เป็นผู้มีความรู้ มีคุณธรรม อันจะเป็นกําลังทางสังคมของประเทศชาติต่อไป
แต่...สิ่งที่สองตำแหน่งนี้มีเหมือนกัน คือ การสอนให้ผู้เรียนมีคุณธรรม มีความรู้ มีทักษะชีวิตในการที่จะนำสิ่งเหล่านั้นไปพัฒนาตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ
สรุป
ครูและอาจารยคือผูใหความรูดูแลความประพฤติของศิษยมีหนาที่พัฒนาให ศิษยเปนคนมีคุณภาพตอประเทศ และสังคม นอกจากน ี้ไมวาจะมีครูกี่ประเภท สังคมใน ปจจุบันและในอนาคต ยอมตองการครูดีหรือครูแททั้งสิ้น
ครูกับความเป็นครูจิตวิญญาณความเป็นครู
"...ครูที่แท้จริงนั้นต้องเป็นผู้ทำแต่ความดี คือต้องหมั่นขยันและ อุตสาหะพากเพียร ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเสียสละ ต้องหนักแน่นอดทน และอดกลั้น สำรวมระวังความประพฤติปฏิบัติของตน ให้อยู่ในระเบียบ แบบแผนที่ดีงาม รวมทั้งต้องซื่อสัตย์ รักษาความจริงใจวางใจเป็นกลาง ไม่ปล่อยไปตามอำนาจอคติ..."
พระราชดำรัส พระราชทานแก่ครูอาวุโส. (28 ตุลาคม 2523). อ้างถึงใน กรมประชาสัมพันธ์สำนักนายกรัฐมันตรี
ครูในอดีตมีจำนวนมาก ที่มีลักษณะครูอาชีพเป็นครูด้วยใจรัก เป็นครูด้วยจิตและวิญญาณ มีความห่วงใยต่อศิษย์ดุจลูกของตนเอง แต่เมื่อเวลาผ่านมามีกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ มากระทบทำให้มีครูอาชีพที่เป็นปูชนียบุคคลลดน้อยลงไปอย่างน่าเป็นห่วง ด้วยสาเหตุอะไรนั้นเป็นเรื่องน่าคิด แต่ก็ไม่อยากให้คิดมากจนเสียเวลาที่จะเตรียมระบบใหม่ที่จะสร้างครูของครูให้เป็นครูอาชีพ เพื่อที่จะเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความดีส่งต่อไปยังลูกศิษย์ที่เป็นครู
ครูที่มีความเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถสร้างภาพลักษณ์ของครูที่ดีได้ นั่นคือ ครูที่ศรัทธาต่ออาชีพครู รักษาเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นครูที่เป็นวิชาชีพชั้นสูง เห็นคุณค่าของวิถีชีวิตที่เป็นครู
และครูจะต้องถ่ายทอดพันธุกรรมแห่งความดีไปยังผู้เรียนด้วยจิตสำนึกและวิญญาณของความเป็นครูอย่างแท้จริง การสร้างจิตสำนึกและวิญญาณครู ทำอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์ เนื่องจากในระยะที่ผ่านมา อาชีพครูค่อนข้างได้รับการดูถูกดูแคลนจากสังคมเป็นอย่างมากจนน่าวิตก ด้วยสาเหตุหลายประการ เช่น คนดีคนเก่งไม่เรียนครู คณาจารย์ที่สอนครูย่อหย่อนในการปฏิบัติหน้าที่ ภาระงานของครูมีมาก แรงจูงใจค่อนข้างต่ำ ระบบการพัฒนาไม่มีประสิทธิภาพ การอบรมพัฒนาไม่ตรงตามที่ต้องการ เป็นต้น
“ จิตสำนึกและวิญญาณครู” จุดเริ่มต้นน่าจะอยู่ที่การสร้างศรัทธา ให้กลับมาสู่อาชีพของครูให้ได้มากที่สุด
ความสำคัญของครู
ความสําคัญของครู อาชีพทุกอาชีพยอมมีความสําคัญตอบุคคลและสังคมดวยกันทั้งนั้นเปนการยากที่จะบงบอกวา อาชีพใดสําคัญกวาอาชีพใด แตในที่นี้เราจะพิจารณาเฉพาะอาชีพครูวา มี ความสําคัญตอสังคมและประเทศชาติเพียงใด จึงขออัญเชิญพระราโชวาทของสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแกผูสําเร็จ การศึกษาจากวิทยาลัยครูณ อาคารใหมสวนอัมพร วันพุธท ี่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ความตอนหนึ่งวา
“ .....อาชีพครูถือวาสําคัญอยางยิ่ง เพราะครูมีบทบาทสําคัญในการพัฒนาประเทศ ใหเจริญมั่นคง และกอนที่จะพัฒนาบานเมืองใหเจริญไดนั้น จะตองพัฒนาคน ซึ่งไดแก เยาวชนของชาติเสียกอน เพื่อใหเยาวชนเติบโตเปนผูใหญที่มีคุณคาสมบูรณทุกดาน จึง สามารถชวยกันสรางความเจริญใหแกชาติตอไปได........”
จากพระราโชวาทของสมเด็จพระเทพฯ ตามที่ไดอัญเชิญมากลาวไวขางตน เปน เครื่องยืนยันใหเห็นถึงความสําคัญของครูที่มีตอความเจริญของบุคคลและชาติบานเมืองเปนอยางยิ่งชาติบานเมืองจะเจริญไดเพราะประชาชนในชาติไดรับการศึกษาที่ดีและมีครู ที่มีคุณภาพ ในอดีตครูมีความสําคัญตอบุคคลและสังคมมาก แตในปจจุบันความสําคัญของครู เปลี่ยนไป มีสาเหตุหลายประการที่ทําใหความสําคัญของครูในอดีตกับครูในปจจุบัน แตกตางกัน เชน
1. จํานวนครูในอดีต จํานวนครูมีนอย คนที่จะมาเปนครูไดนั้นจะตองมีการคัดเลือกผูที่มี สติปญญาดีและมีนิสัยเหมาะสมที่จะเปนครูสามารถประพฤติปฏิบัติตนใหเปนแบบอยาง แกลูกศิษยไดดังนั้น ความสําคัญของครูจึงมีมาก ในปจจุบัน การศึกษาขยายตัวอยางรวดเร็ว จึงมีความจําเปนที่จะตองเพิ่ม จํานวนครูใหมากขึ้น และมีคนเปนจํานวนมากที่มิไดศรัทธาที่จะเปนครูแตจําเปนตอง ประกอบอาชีพนี้ เพียงเพื่อใหมีโอกาสไดงานทํา จึงทําใหครูบางคนมีพฤติกรรมที่ไม เหมาะสมกับการเปนครูไมมีศรัทธาในวิชาชีพที่ทําอยู
2. หลักสูตรการสอน ในอดีต “ตัวครู” คือ “หลักสูตร” ครูมีความสามารถในเรื่องใด หรือมีวิธีการ สอนอยางใดก็สอนกันไปเชนนั้น ครูมีความสําคัญมากในการที่ จะดูแลปรับปรุงพฤติกรรม ของเด็ก ในปจจุบัน หลักสูตรการเรียนการสอนในระดับตาง ๆ มีมาก และแตละ สาขาวิชาก็จะมีครูเฉพาะสาขาวิชาทําการสอนในวิชานั้น ๆ อยู นักเรียนจะมีโอกาสได เรียนกับครูหลาย ๆ คน ทําใหความผูกพันระหวางครูกับนักเรียนลดนอยลง นักเรียนจะ ไมคอยเห็นคุณคาความสําคัญของครูเทาใดนัก
3. จํานวนนักเรียน ในอดีต จํานวนประชากรมีนอยกวาปจจุบันมาก ผูที่สนใจจะเรียนหนังสือก็ มีจํานวนไมมาก ครูผูสอนแตละคนสามารถดูแลอบรมนักเรียนไดอยางทั่วถึง มีความผูกพันซึ้งกันและกัน ในปจจุบัน จํานวนนักเรียนในแตละระดับ แตละหองมีมากขึ้น ครูบางคน ตองสอนนักเรียนหลายหองเมื่อสอนหมดชั่วโมงหนึ่งก็ตองรีบไปสอนตออีกหองตอไป ทําใหความผูกพันใกลชิดกันระหวางครูกับลูกศิษยลดนอยลงตามลําดับ
4. อนาคตของศิษย ในอดีต คนที่มีโอกาสไดศึกษาเลาเรียนเกือบทุกคนจะไดดีมีงานทํา ในปจจุบันคนที่ เรียนหนังสือมีมากขึ้น เมื่อเรียนสําเร็จแลวตองแยงกันหางานทํา แตงานมีจํานวนนอย เพราะฉะนั้น คนที่เรียนสําเร็จแลวไมมีงานทําจะมีมากและเปนพวกที่ไมเห็นความสําคัญของครูเทาไรนัก
5. ความรูสึกของศิษยและผูปกครองในอดีต ลูกศิษยเรียนจบมีงานทําดีๆ ทั้งลูกศิษยและผูปกครองมักจะ นึกถึงบุญคุณครูที่เคี่ยวเข็ญและสั่งสอนมาในปจจุบัน ลูกศิษยมักจะไมนึกถึงบุญคุณครูเทาไรนัก เพราะครูไมไดใกลชิดสั่งสอนอบรมลูกศิษยเชนครูในอดีต จากเหตุผลดังกลาว ทําใหความสําคัญของครูในอดีตและปจจุบันมีความแตกตางกัน ทั้งๆ ที่ในความเปนจริงความสําคัญของครูมิไดลดนอยลงไปเลย ครูยังคงมีบทบาทและ ความสําคัญอยูเสมอเพียงแตคนบางกลุมมิไดเห็นวาครูมีความสําคัญตอตนเชนเดียวกับ ลูก ศิษยในสมัยกอน
ประเภทของครู
การแบงครูเปนประเภทตาง ๆ ยอมขึ้นอยูกับความรูความสามารถและหนาที่ของ แตละบุคคล การแบงประเภทของครูอาจจะเปนการชวยกระตุนความเปนครูใหผูประกอบ
วิชาชีพครูดวย ยนต ชุมจิต (2541: 22-23) ไดแบงประเภทครูตามลักษณะของงานออกเปน 4 ประเภท คือ 1. ครูประจําบาน ไดแก พอ แม ซึ่งถือวาเปนครูคนแรกของลูก เพราะท ั้ งสอง ทานยอมจะมีความใกลชิดคอยดูแลปกปองลูกตลอดเวลา จึงมีการยกยองใหพอ แม เปน บูรพาจารยของลูก
2. ครูประจําโรงเรียน ไดแก ครูอาจารยที่ทําการสอนนักเรียนตามโรงเรียน หรือ สถานศึกษาตาง ๆ จะกระทําโดยสํานึกหรือดวยวิญญาณของความเปนครูอยางแทจริง หรือกระทําตามหนาที่ที่ไดรับมอบหมายจากทางราชการ
3. ครูประจําวัด ไดแก พระภิกษุสงฆในพระพุทธศาสนาหรือนักบวชในศาสนา นั้น ๆ ที่มีความรูความเขาใจในหลักคําสอนในศาสนาของตนเพียงพอ และทําหนาท ี่ เผยแพรหลักธรรมคําสอนเพื่อใหประชาชนมีศีลธรรมคุณธรรมประจําใจ
4. ครูประจําโลก ไดแก พระบรมศาสดาของพระพุทธศาสนา และศาสดาของ ศาสนาตางๆ ที่ไดคนพบหลักธรรมคําสอนอันประเสริฐ แลวนําหลักธรรมนั้นๆ มา เผยแพรอบรมใหมนุษยในโลกไดรูไดเขาใจ และนําไปประพฤติปฏิบัติเพื่อความสุขความ เจริญและความรมเย็นแหงชีวิต
บทบาทและหน้าที่ของครู
ความหมายของบทบาท หนาที่ความรับผิดชอบ
บทบาท หมายถึง การแสดงออกของคนซึ่งคนอื่นคาดคิด หรือหวังวาเขาจะ กระทําเมื่ออยูภายใตสถานการณทางสังคมอยางหนึ่ง การที่ประชาชนคาดหมายหรือหวัง ใหเขากระทําอยางนั้น ถือเอาฐานะและหนาที่ทางสังคมของเขาเปนมูลฐาน หรือ พฤติกรรมที่แสดงออก ซึ่งเหมาะสมสอดคลองกับตําแหนงหนาที่
หนาที่ หมายถึง งานการปฏิบัติการบริหาร หรือธุรกิจที่ตองกระทําตามคําสั่งให เกิดผลดวยความดีหรือการปฏิบัติงานตามตําแหนง งานอาชีพ หรืองานวิชาชีพ หรือเปน พฤติกรรมที่กําหนดใหกระทําโดยความจําเปนทางหลักศีลธรรม ความตองการตาม ขนบธรรมเนียมหรือตามความพอใจ โดยอาศัยความรูสึกนึกถึงความถูกตองและความ เหมาะสม
๑. บทบาทของครู
ครู คือผู้นำทางวิญญาณ ทั้งแก่บุคคลและสังคม ใน ๓ ประการคือ
๑. สอนให้รู้จักความรอดที่แท้จริง คือการดับทุกข์
๒. สอนให้รู้จักความสุขที่แท้จริง คือความสุขจากการทำหน้าที่ หน้าที่นั้นแยกได้ ๒ ประการ ประการที่ ๑ คือ การบริหารชีวิตให้เป็นสุข ประการที่ ๒ คือ การใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
๓. สอนให้รู้จักหน้าที่ที่แท้จริง คือรู้จักหน้าที่ในฐานะที่เป็นสิ่งสูงสุด รักที่จะทำหน้าที่และมีความสุขในการทำหน้าที่
หน้าที่ของครู
หน้าที่ ของครู คือสร้างความอยู่รอดของสังคม โดยการให้การศึกษาที่สมบูรณ์แก่ศิษย์ การศึกษาที่สมบูรณ์คือ การศึกษาที่ครบองค์สาม อันได้แก่
๑. ให้ความรู้ทางโลก หมายถึง การเรียนหนังสือ เพื่อพัฒนาสติปัญญาและการเรียนวิชาชีพ เพื่อให้สามารถอยู่รอดทางกาย
๒. ให้ความรู้ทางธรรม เพื่อให้ใจอยู่รอด คือรอดพ้นจากความครอบงำของกิเลส มีความเป็นมนุษย์ คือใจสูง ใจสว่าง และใจสงบ
๓. ให้รู้จักทำตนให้เป็นประโยชน์ ทั้งต่อตนเองและสังคม
บทบาทของครูที่พึงประสงค
1.บทบาทของครูตามหลักวิชาการ มีนักวิชาการไดเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทของครูไวหลายทาน ดังนี้
แฮวิงเฮิรสทและเลวิน (R. J. Havinghuerst & D. U. Levine) ไดกลาวถึง บทบาทครูไว 2 ดาน คือ
1.1 บทบาทของครูในชุมชน มีหลายบทบาท เชน
1. ผูนําการเปลี่ยนแปลงและนักปฏิรูปสังคม
2. ผูริเริ่มบุกเบิกความคิด
3. ผูผดุงรักษาวัฒนธรรม
4. ผูควรแกการยกยอง
5. ผูใหบริการสาธารณะ
1.2 บทบาทของครูในโรงเรียน มีหลายบทบาท เชน
1. ผูอบรมเลี้ยงดูหรือสรางสังคมประกิต (Socialization Agent)
2. ผูเปนตัวกลางหรือผูกอใหเกิดการเรียนรู
3. ผูรักษาวินัย
4. ผูเปนเสมือนพอแม
5. ผูตัดสินหรือรักษากติกา
6. ผูเปนที่พึ่งของเด็ก
จอหนสัน (E. A. Johnson) ไดเสนอบทบาทของครูไว 7 ประการ คือ
1. ผูนําของเด็ก
2. ที่ปรึกษาของเด็ก
3. ผูชํานาญในการสอน
4. มิตรของเด็ก
5. ผูกําหนดจุดประสงค
6. ผูวัดผลและประเมินผล
7. ผูกระตุนใหเด็กปรับตัวเขากับสังคม
บารและคณะ (Barr A. S. & Others) ไดพิจารณาในการวัดผลและพยากรณ ประสิทธิผลของครูผานบทบาทหนาที่ 4 ดาน คือ
1. ครูในฐานะผูอํานวยการสอน
2. ครูในฐานะเพื่ อนและผูใหคําปรึกษาแกนักเรียน
3. ครูในฐานะสมาชิกคนหน ึ่ งของชุมชนโรงเรียน
4. ครูในฐานะสมาชิกของสมาคมวิชาชีพ
การมีมนุษยสัมพันธของครูสามารถจําแนกออกไดดังนี้
1. มนุษยสัมพันธระหวางครูกับนักเรียน ครูควรสอนใหลูกศิษยมีความรูในวิชาการตางๆ มี ความประพฤติที่ดีเปนท ี่ปรึกษาของลูกศิษย พยายามหาทางชวยเหลือถาลูกศิษยมีปญหา
2. มนุษยสัมพันธระหวางครูกับครู - ครูทุกคนควรมีความสามัคคีกัน ถาสถานศึกษาใดมี ครูอาจารยที่สมานสามัคคีกันการพัฒนาโรงเรียนและ วิชาการก็จะเจริญกาวหนาไปรวดเร็ว
3. มนุษยสัมพันธระหวางครูกับผูปกครองและชุมชน ผูปกครองนักเรียนเปนบุคคลกลุมหนึ่งที่มีบทบาท สําคัญตอการเรียนการสอนและการพัฒนาโรงเรียน ถาโรงเรียนใดสามารถโนมนาวใหผูปกครองเขามา
2. บทบาทของครูตามแนวคิดปรัชญาลัทธิตาง ๆ กลุมลัทธิปรัชญาตาง ๆ ไดใหทัศนะเกี่ยวกับบทบาทของครูไวดังนี้
1. ฝายจิตนิยม
ถือวา “ครูคือแมพิมพ” (Paradigmatic Self) ยกใหครูมีอาวุโส และวุฒิภาวะสูงกวานักเรียน ตองเปนแบบอยางที่ดีทั้งดานความรูและ ความประพฤติตองมีความสามารถในการถายทอดความรูโดยใช สัญลักษณไดดีมีประสิทธิภาพ
2. ฝายสัจนิยม หรือ วัตถุนิยม
ถือวา “ครูคือผูสาธิต” (Demonstrator) บทบาทของครูคือ เปนส ื่ อกลางระหวางนักเรียนกับความรูที่เปน ขอเท็จจริง
3. ฝายประสบการณนิยม ถือวา
“ครูเปนเสมือนผูอํานวยการโครงการวิจัย” กําหนดใหครูเปนเพียงผูมีสวนรวมในกระบวนการเรียนของเด็ก ครูมิใช ตัวกลางหรือมิใชผูนําสารแตอยูในฐานะผูดูแลใหแตละคนดําเนินไปสู เปาหมายเปนสําคัญ
4. ฝายอัตถิภาวนิยม ถือวา
“ครูคือผูคอยกระตุนหรือย ั่ วยุ” คือเปนผูกระตุน ใหเด็กแตละคนไดเรียนรูคนพบความจริงดวยตนเอง
5. ฝายโทมัสนิยมใหม ถือวา
“ครูคือผูรักษาวินัยทางความคิด” (Mental Disciplinarian) กําหนดใหครูเปนนายทางปญญา หรือ ผูอํานวยการฝกฝน ทางปญญา และความคิด เปนพิธีกรทางปญญา หรือผูพัฒนาอํานาจทาง ความคิด ในการนี้ครูตองเปนผูมีความสามารถในการใหเหตุผล มี เจตจํานงอันแนวแนและมีความจําดี
หนาที่และความรับผิดชอบของครู
1. หนาที่ตามมาตรฐานกําหนดตําแหนงขาราชการครู หนวยงานบริหาร บุคคลกลางสําหรับขาราชการครูของคุรุสภาไดวางมาตรฐานกําหนดตําแหนงขาราชการ ครูในสวนที่เกี่ยวกับหนาที่รับผิดชอบไว 6 ขอ ดังนี้
1) ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเรียนการสอน การอบรม การปกครองดูแลให คําแนะนําและแนะแนวตางๆ
2) ศึกษาวิจัย วิเคราะหขอมูลที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน
3) ใหบริการแกสังคมในดานวิชาการและดานอื่นๆ
4) นิเทศในสาขาวิชาที่รับผิดชอบ
5) ชวยงานธุรการและงานบริการและสถานศึกษา
6) ปฏิบัติหนาที่อื่นๆ ตามที่ไดรับมอบหมาย
2. หนาที่ตามจรรยาและวินัยขาราชการครู
2.1 หนาที่ตามจรรยาและวินัยขาราชการใน พรบ. ขาราชการพลเรือน พ.ศ. 2518
มาตรา 65 ถึงมาตรา 81 มีความโดยสรุปดังนี้
มาตรา 65 ตองรักษาวินัยโดยเครงครัดอยูเสมอ
มาตรา 66 ตองสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยตาม รัฐธรรมนูญดวยความบริสุทธ ิ์ใจ
มาตรา 67 ตองปฏิบัติหนาท ี่ ราชการดวยความซ ื่ อสัตยสุจริต และเท ี่ ยงธรรม
มาตรา 68 ตองสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ตั้งใจปฏิบัติหนาที่ตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ และมติคณะรัฐมนตรี
มาตรา 69 ตองสนใจและรับทราบเหตุการณเคลื่อนไหวอันอาจเปน ภยันตรายตอประเทศชาติและตองปองกันภยันตรายซึ่งจะบังเกิดแกประเทศชาติ
มาตรา 70 ตองรักษาความลับของทางราชการ
มาตรา 71 ตองปฏิบัติตามคําสั่งของผูบังคับบัญชาซึ่งสั่งในหนาที่ราชการ โดยชอบดวยกฎหมายและระเบียบของทางราชการ
มาตรา 72 ตองปฏิบัติราชการ โดยมิใหเปนการกระทําการขาม ผูบังคับบัญชาเหนือตน
มาตรา 73 ตองไมรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา
มาตรา 74 ตองถือและปฏิบัติตามระเบียบและธรรมเนียมของทางราชการ
มาตรา 75 ตองอุทิศเวลาของตนใหแกราชการ จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหนาที่ราชการมิได้
มาตรา 76 ตองสุภาพเรียบรอย รักษาความสามัคคีระหวางขาราชการและ ชวยเหลือซค่งกันและกัน
มาตรา 77 ตองสุภาพเรียบรอย ตอนรับใหความสะดวกความเปนธรรม และใหสงเคราะหแกประชาชนที่ มาติดตอไมดูหมิ่น กดขี่ขมเหงราษฎร
มาตรา 78 ตองไมกระทําหรือยอมใหผูอื่นกระทําการหาผลประโยชนอัน จะทําใหเสียความเที่ยงธรรมและเสียเกียรติศักด ิ์ ของตําแหนงหนาที่
มาตรา 79 ตองไมเปนกรรมการผูจัดการ หรือตําแหนงที่มีลักษณะ คลายคลึงกันในหางหุนสวนหรือบริษัท
มาตรา 80 ตองไมเปนกรรมการพรรคการเมือง หรือเจาหนาท ี่ในพรรค การเมือง
มาตรา 81 ตองไมกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่ว
2.2 หนาท ี่ ตามระเบียบคุรุสภา วาดวยจรรยามรรยาทและวินัยตามระเบียบ ประเพณีของครูพ.ศ. 2526 มีดังนี้
1. เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยเปน ประมุขดวยความ
บริสุทธ ิ์ใจ
2. ยึดมั่นในศาสนาที่ ตนนับถือ ไมลบหลูดูหมิ่นศาสนาอื่น
3. ตั้งใจสั่งสอนศิษยและปฏิบัติหนาที่ของตนเองใหเกิดผลดีดวยความ เอาใจใสอุทิศเวลาของตนใหแกศิษยจะละทิ้งหรือทอดทิ้งหนาที่การงานมิได้
4. รักษาชื่อเสียงของตนมิใหขึ้นชื่อวาเปนผูประพฤติชั่วหามประพฤติการใดๆ อันอาจทําใหเสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงของครู
5. ถือปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา และปฏิบัติตามคําสั่งของผูบังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหนาที่การงานโดยชอบดวยกฎหมายและ ระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา
6. ถายทอดวิชาความรูโดยไมบิดเบือนและปดบังอําพราง ไมนําหรือยอมใหนําผลงานทางวิชาการของตนเองไปใชในทางทุจริตหรือเปนภัยตอมนุษยชาติ
7. ใหเกียรติแกผูอื่นทางวิชาการโดยไมนําผลงานของผูใดมาแอบอางเปน ผลงานของตนและไมเบียดบังใชแรงงานหรือนําผลงานของผูอื่นไปเพื่อประโยชนสวนตน
8. ประพฤติตนอยูในความซื่อสัตยสุจริต และปฏิบัติหนาที่ของตนดวย ความเที่ยงธรรม ไมแสวงหาประโยชนสําหรับตนเอง หรือผูอื่นโดยมิชอบ
9. สุภาพเรียบรอยประพฤติตนเปนแบบอยางที่ดีแกศิษยรักษาความลับของ ศิษยของผูรวมงานและของสถานศึกษา
10. รักษาความสามัคคีระหวางครูและชวยเหลือกันในหนาทที่การงาน
3. หน้าทที่ครูดานจริยศึกษา มีทานผูรูในดานจริยศึกษาเสนอไวดังนี้
1. ครูทุกคนตองพรอมที่จะสอนจริยศึกษาไดตองมีจริยธรรมอยูในตัว ประพฤติตัวเปนแบบอยางแกศิษยได
2. ครูตองเคารพความจริง มุงแสวงหาความจริง เขาถึงความจริง แลวนําไป สอนใหสอดคลองกับจริยธรรม
3. ครูตองทําความเขาใจศัพทและถอยที่ใชและเกี่ยวของกับคุณธรรม จริยธรรม เพื่อจะไดนําไปใชสอนใหถูกตองเหมาะสม
4. ครูตองรูจักคิด รูจักทําตนเปนมิตรที่ดีหรือกัลยาณมิตร
5. ครูตองสอนจริยศึกษาดวยการปฏิบัติและใหเด็กเห็นตัวอยาง
6. ครูตองวัดและประเมินผลการสอนอยูเสมอ โดยการสังเกตพฤติกรรม นักเรียน
4. หนาที่ความรับผิดชอบของครูจากผลการวิจัย จากผลการวิจัยของ เฉลียว บุรีภักดีและคณะ พอจะกลาวถึงหนาทที่ความ รับผิดชอบของครูดังนี้
1. หมั่นอบรมเด็กอยูเสมอ
2. ตั้งใจสอน รักการสอน
3. จัดการปกครองไดเปนที่เรียบรอย
4. เตรียมการสอนและทําบันทึกการสอน
5. หมั่นวัดผลและติดตามผลการเรียน
6. รับผิดชอบในหนาที่ที่ไดรับมอบหมาย
7. ชวยใหคําแนะนําแกเด็กดวยความเต็มใจ
8. สอนใหเด็กเปนประชาธิปไตย
อ้างอิง
https://www.gotoknow.org/posts/238993
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9
กนกวรรณ ทองตะโก (http://www.royin.go.th/)
1.บทบาทของครูตามหลักวิชาการ มีนักวิชาการไดเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทของครูไวหลายทาน ดังนี้
แฮวิงเฮิรสทและเลวิน (R. J. Havinghuerst & D. U. Levine) ไดกลาวถึง บทบาทครูไว 2 ดาน คือ
1.1 บทบาทของครูในชุมชน มีหลายบทบาท เชน
1. ผูนําการเปลี่ยนแปลงและนักปฏิรูปสังคม
2. ผูริเริ่มบุกเบิกความคิด
3. ผูผดุงรักษาวัฒนธรรม
4. ผูควรแกการยกยอง
5. ผูใหบริการสาธารณะ
1.2 บทบาทของครูในโรงเรียน มีหลายบทบาท เชน
1. ผูอบรมเลี้ยงดูหรือสรางสังคมประกิต (Socialization Agent)
2. ผูเปนตัวกลางหรือผูกอใหเกิดการเรียนรู
3. ผูรักษาวินัย
4. ผูเปนเสมือนพอแม
5. ผูตัดสินหรือรักษากติกา
6. ผูเปนที่พึ่งของเด็ก
จอหนสัน (E. A. Johnson) ไดเสนอบทบาทของครูไว 7 ประการ คือ
1. ผูนําของเด็ก
2. ที่ปรึกษาของเด็ก
3. ผูชํานาญในการสอน
4. มิตรของเด็ก
5. ผูกําหนดจุดประสงค
6. ผูวัดผลและประเมินผล
7. ผูกระตุนใหเด็กปรับตัวเขากับสังคม
บารและคณะ (Barr A. S. & Others) ไดพิจารณาในการวัดผลและพยากรณ ประสิทธิผลของครูผานบทบาทหนาที่ 4 ดาน คือ
1. ครูในฐานะผูอํานวยการสอน
2. ครูในฐานะเพื่ อนและผูใหคําปรึกษาแกนักเรียน
3. ครูในฐานะสมาชิกคนหน ึ่ งของชุมชนโรงเรียน
4. ครูในฐานะสมาชิกของสมาคมวิชาชีพ
การมีมนุษยสัมพันธของครูสามารถจําแนกออกไดดังนี้
1. มนุษยสัมพันธระหวางครูกับนักเรียน ครูควรสอนใหลูกศิษยมีความรูในวิชาการตางๆ มี ความประพฤติที่ดีเปนท ี่ปรึกษาของลูกศิษย พยายามหาทางชวยเหลือถาลูกศิษยมีปญหา
2. มนุษยสัมพันธระหวางครูกับครู - ครูทุกคนควรมีความสามัคคีกัน ถาสถานศึกษาใดมี ครูอาจารยที่สมานสามัคคีกันการพัฒนาโรงเรียนและ วิชาการก็จะเจริญกาวหนาไปรวดเร็ว
3. มนุษยสัมพันธระหวางครูกับผูปกครองและชุมชน ผูปกครองนักเรียนเปนบุคคลกลุมหนึ่งที่มีบทบาท สําคัญตอการเรียนการสอนและการพัฒนาโรงเรียน ถาโรงเรียนใดสามารถโนมนาวใหผูปกครองเขามา
2. บทบาทของครูตามแนวคิดปรัชญาลัทธิตาง ๆ กลุมลัทธิปรัชญาตาง ๆ ไดใหทัศนะเกี่ยวกับบทบาทของครูไวดังนี้
1. ฝายจิตนิยม
ถือวา “ครูคือแมพิมพ” (Paradigmatic Self) ยกใหครูมีอาวุโส และวุฒิภาวะสูงกวานักเรียน ตองเปนแบบอยางที่ดีทั้งดานความรูและ ความประพฤติตองมีความสามารถในการถายทอดความรูโดยใช สัญลักษณไดดีมีประสิทธิภาพ
2. ฝายสัจนิยม หรือ วัตถุนิยม
ถือวา “ครูคือผูสาธิต” (Demonstrator) บทบาทของครูคือ เปนส ื่ อกลางระหวางนักเรียนกับความรูที่เปน ขอเท็จจริง
3. ฝายประสบการณนิยม ถือวา
“ครูเปนเสมือนผูอํานวยการโครงการวิจัย” กําหนดใหครูเปนเพียงผูมีสวนรวมในกระบวนการเรียนของเด็ก ครูมิใช ตัวกลางหรือมิใชผูนําสารแตอยูในฐานะผูดูแลใหแตละคนดําเนินไปสู เปาหมายเปนสําคัญ
4. ฝายอัตถิภาวนิยม ถือวา
“ครูคือผูคอยกระตุนหรือย ั่ วยุ” คือเปนผูกระตุน ใหเด็กแตละคนไดเรียนรูคนพบความจริงดวยตนเอง
5. ฝายโทมัสนิยมใหม ถือวา
“ครูคือผูรักษาวินัยทางความคิด” (Mental Disciplinarian) กําหนดใหครูเปนนายทางปญญา หรือ ผูอํานวยการฝกฝน ทางปญญา และความคิด เปนพิธีกรทางปญญา หรือผูพัฒนาอํานาจทาง ความคิด ในการนี้ครูตองเปนผูมีความสามารถในการใหเหตุผล มี เจตจํานงอันแนวแนและมีความจําดี
หนาที่และความรับผิดชอบของครู
1. หนาที่ตามมาตรฐานกําหนดตําแหนงขาราชการครู หนวยงานบริหาร บุคคลกลางสําหรับขาราชการครูของคุรุสภาไดวางมาตรฐานกําหนดตําแหนงขาราชการ ครูในสวนที่เกี่ยวกับหนาที่รับผิดชอบไว 6 ขอ ดังนี้
1) ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเรียนการสอน การอบรม การปกครองดูแลให คําแนะนําและแนะแนวตางๆ
2) ศึกษาวิจัย วิเคราะหขอมูลที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน
3) ใหบริการแกสังคมในดานวิชาการและดานอื่นๆ
4) นิเทศในสาขาวิชาที่รับผิดชอบ
5) ชวยงานธุรการและงานบริการและสถานศึกษา
6) ปฏิบัติหนาที่อื่นๆ ตามที่ไดรับมอบหมาย
2. หนาที่ตามจรรยาและวินัยขาราชการครู
2.1 หนาที่ตามจรรยาและวินัยขาราชการใน พรบ. ขาราชการพลเรือน พ.ศ. 2518
มาตรา 65 ถึงมาตรา 81 มีความโดยสรุปดังนี้
มาตรา 65 ตองรักษาวินัยโดยเครงครัดอยูเสมอ
มาตรา 66 ตองสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยตาม รัฐธรรมนูญดวยความบริสุทธ ิ์ใจ
มาตรา 67 ตองปฏิบัติหนาท ี่ ราชการดวยความซ ื่ อสัตยสุจริต และเท ี่ ยงธรรม
มาตรา 68 ตองสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ตั้งใจปฏิบัติหนาที่ตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ และมติคณะรัฐมนตรี
มาตรา 69 ตองสนใจและรับทราบเหตุการณเคลื่อนไหวอันอาจเปน ภยันตรายตอประเทศชาติและตองปองกันภยันตรายซึ่งจะบังเกิดแกประเทศชาติ
มาตรา 70 ตองรักษาความลับของทางราชการ
มาตรา 71 ตองปฏิบัติตามคําสั่งของผูบังคับบัญชาซึ่งสั่งในหนาที่ราชการ โดยชอบดวยกฎหมายและระเบียบของทางราชการ
มาตรา 72 ตองปฏิบัติราชการ โดยมิใหเปนการกระทําการขาม ผูบังคับบัญชาเหนือตน
มาตรา 73 ตองไมรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา
มาตรา 74 ตองถือและปฏิบัติตามระเบียบและธรรมเนียมของทางราชการ
มาตรา 75 ตองอุทิศเวลาของตนใหแกราชการ จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหนาที่ราชการมิได้
มาตรา 76 ตองสุภาพเรียบรอย รักษาความสามัคคีระหวางขาราชการและ ชวยเหลือซค่งกันและกัน
มาตรา 77 ตองสุภาพเรียบรอย ตอนรับใหความสะดวกความเปนธรรม และใหสงเคราะหแกประชาชนที่ มาติดตอไมดูหมิ่น กดขี่ขมเหงราษฎร
มาตรา 78 ตองไมกระทําหรือยอมใหผูอื่นกระทําการหาผลประโยชนอัน จะทําใหเสียความเที่ยงธรรมและเสียเกียรติศักด ิ์ ของตําแหนงหนาที่
มาตรา 79 ตองไมเปนกรรมการผูจัดการ หรือตําแหนงที่มีลักษณะ คลายคลึงกันในหางหุนสวนหรือบริษัท
มาตรา 80 ตองไมเปนกรรมการพรรคการเมือง หรือเจาหนาท ี่ในพรรค การเมือง
มาตรา 81 ตองไมกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่ว
2.2 หนาท ี่ ตามระเบียบคุรุสภา วาดวยจรรยามรรยาทและวินัยตามระเบียบ ประเพณีของครูพ.ศ. 2526 มีดังนี้
1. เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยเปน ประมุขดวยความ
บริสุทธ ิ์ใจ
2. ยึดมั่นในศาสนาที่ ตนนับถือ ไมลบหลูดูหมิ่นศาสนาอื่น
3. ตั้งใจสั่งสอนศิษยและปฏิบัติหนาที่ของตนเองใหเกิดผลดีดวยความ เอาใจใสอุทิศเวลาของตนใหแกศิษยจะละทิ้งหรือทอดทิ้งหนาที่การงานมิได้
4. รักษาชื่อเสียงของตนมิใหขึ้นชื่อวาเปนผูประพฤติชั่วหามประพฤติการใดๆ อันอาจทําใหเสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงของครู
5. ถือปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา และปฏิบัติตามคําสั่งของผูบังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหนาที่การงานโดยชอบดวยกฎหมายและ ระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา
6. ถายทอดวิชาความรูโดยไมบิดเบือนและปดบังอําพราง ไมนําหรือยอมใหนําผลงานทางวิชาการของตนเองไปใชในทางทุจริตหรือเปนภัยตอมนุษยชาติ
7. ใหเกียรติแกผูอื่นทางวิชาการโดยไมนําผลงานของผูใดมาแอบอางเปน ผลงานของตนและไมเบียดบังใชแรงงานหรือนําผลงานของผูอื่นไปเพื่อประโยชนสวนตน
8. ประพฤติตนอยูในความซื่อสัตยสุจริต และปฏิบัติหนาที่ของตนดวย ความเที่ยงธรรม ไมแสวงหาประโยชนสําหรับตนเอง หรือผูอื่นโดยมิชอบ
9. สุภาพเรียบรอยประพฤติตนเปนแบบอยางที่ดีแกศิษยรักษาความลับของ ศิษยของผูรวมงานและของสถานศึกษา
10. รักษาความสามัคคีระหวางครูและชวยเหลือกันในหนาทที่การงาน
3. หน้าทที่ครูดานจริยศึกษา มีทานผูรูในดานจริยศึกษาเสนอไวดังนี้
1. ครูทุกคนตองพรอมที่จะสอนจริยศึกษาไดตองมีจริยธรรมอยูในตัว ประพฤติตัวเปนแบบอยางแกศิษยได
2. ครูตองเคารพความจริง มุงแสวงหาความจริง เขาถึงความจริง แลวนําไป สอนใหสอดคลองกับจริยธรรม
3. ครูตองทําความเขาใจศัพทและถอยที่ใชและเกี่ยวของกับคุณธรรม จริยธรรม เพื่อจะไดนําไปใชสอนใหถูกตองเหมาะสม
4. ครูตองรูจักคิด รูจักทําตนเปนมิตรที่ดีหรือกัลยาณมิตร
5. ครูตองสอนจริยศึกษาดวยการปฏิบัติและใหเด็กเห็นตัวอยาง
6. ครูตองวัดและประเมินผลการสอนอยูเสมอ โดยการสังเกตพฤติกรรม นักเรียน
4. หนาที่ความรับผิดชอบของครูจากผลการวิจัย จากผลการวิจัยของ เฉลียว บุรีภักดีและคณะ พอจะกลาวถึงหนาทที่ความ รับผิดชอบของครูดังนี้
1. หมั่นอบรมเด็กอยูเสมอ
2. ตั้งใจสอน รักการสอน
3. จัดการปกครองไดเปนที่เรียบรอย
4. เตรียมการสอนและทําบันทึกการสอน
5. หมั่นวัดผลและติดตามผลการเรียน
6. รับผิดชอบในหนาที่ที่ไดรับมอบหมาย
7. ชวยใหคําแนะนําแกเด็กดวยความเต็มใจ
8. สอนใหเด็กเปนประชาธิปไตย
อ้างอิง
https://www.gotoknow.org/posts/238993
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9
กนกวรรณ ทองตะโก (http://www.royin.go.th/)
ออกแบบเรียบง่าย แต่สบายตาดี ชอบมากค้ะ
ตอบลบเนื้อหาโอเค แต่ตัวหนังสือเล้กไปนะค้ะ